วันพุธที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

W124 E220 Maintenance

 

    เท่าที่ยังจำได้นะครับ ผมให้เป็นข้อมูล
    เนื่องจากขายรถไปนานแล้วดังนั้นอาจจะต้องตรวจสอบ
    ราคาใหม่ เดิมที่ใช้อยู่เป็น e220 ตัว code c ปี 93

    ค่าของสิ้นเปลือง
    1. กรองน้ำมันเครื่อง (ยี่ห้อ knetch) ราคา 150 บาท
    เปลี่ยนทุกๆ 10,000ก.ม. พร้อมน้ำมันเครื่อง (ใช้ไม่เกิน
    7 ลิตร ซื้อของ PTT แบบ semi-syn)
    2. กรองอากาศ (ยี่ห้อ knetch) ราคา 450 บาท
    เปลี่ยนทุกๆ 10,000ก.ม. เพราะทางวิ่งมีแต่ฝุ่น
    3. หัวเทียน (ยี่ห้อ bosch) ราคาหัวละไม่เกิน 50 บาท
    เปลี่ยนทุกๆ 20,000ก.ม.
    4. กรองน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ ราคา 120 บาท
    เปลี่ยนทุกๆ 20,000ก.ม. พร้อมน้ำมันเพาเวอร์ตอนนั้น
    ใช้ caltrex เกรด dexron III ใช้ไม่เกิน 1 ลิตร
    5. กรองเกียร์และประเก็นอ่านน้ำมันเกียร์ ราคา 800 บาท
    เปลี่ยนทุกๆ 20,000ก.ม. พร้อมน้ำมันเกียรเป็นเกรด
    dexron III ปริมาณไม่เกิน 7 ลิตร
    6. กรองน้ำมันเบนซิน (ยี่ห้อ knetch) ราคา 450 บาท
    เปลี่ยนทุก 40,000ก.ม.
    7. น้ำมันเบรกเป็นเกรด dot 4 ใช้ไล่และเติมระบบไม่เกิน
    1 ลิตร ราคาพร้อมค่าแรงเปลี่ยนที่B-quik ไม่เกิน
    500 บาท เปลี่ยนทุกปี หลังหน้าฝน
    8. สายพานเครื่อง (ยี่ห้อ continental) ราคา 450บาท
    ดูสภาพแต่เปลี่ยนเพราะต้องการความมั่นใจทุก
    40,000ก.ม.
    9. ผ้าเบรกหน้า (ยี่ห้อ textar) ราคา 1,500 บาท
    10. ผ้าเบรกหลัง (ยี่ห้อ textar) ราคา 1,000 บาท
    11. สายไฟเตือนผ้าเบรกหมดเส้นละ 50 บาทมีสองเส้น
    12. น้ำมันเฟืองท้าย (ต้องยี่ห้อ Benz เท่านั้น) ใช้ไม่เกิน
    2 ลิตร ราคาจำไม่ได้อะ

    ค่าของที่เปลี่ยนเมื่อคราวมีเคราะห์
    1. shock absorber (ยี่ห้อ บินกระจาย) 4ต้น เบอร์ 2
    ราคาไม่เกิน 9,000 บาท
    2. ลูกลอยถังน้ำมัน (ยี่ห้อ vdo) ราคา ไม่เกิน 2,500 บาท
    3. air mass sensor (ยี่ห้อ bosch) ราคาไม่เกิน
    9,000 บาท
    4. Oxygen sensor (ยี่ห้อ bosch) ไม่เกิน 3,500 บาท
    5. ผ้าบุหลังคา ราคาซ่อมไม่เกิน 3,000 บาท
    6. ยางหูช้าง(กระจกมองข้าง) คู่ละไม่เกิน 700 บาท
    7. ยางรองแท่นเครื่องฝั้งใกล้ท่อไอเสียมักจะกลับ
    เยอรมันก่อนอีกฝั่ง แต่ราคาตัวละไม่เกิน 2,000 บาท
    8. ไดชาร์ต (ยี่ห้อ bosch) ขนาด 90 แอมป์ ของใหม่
    ราคาไม่เกิน 9,500 บาท ของซ่อมไม่เกิน 3,500 บาท

    ถามว่าจุกจิกไหม

    ไม่เลยโคตรทนตีนเลย อัตราเร่งดีไม่เหนื่อยในการขับ
    ไม่วอกแวกเวลาใช้ความเร็วสูง เบรกมั่นใจว่าไม่พาไปมิด
    พี่เขามีแรงวิ่งสูงสุดไม่เกิน 210กม. ตาม specของโรงงาน

    ซดไหม

    ตอนนั้นใช้ gasohol 95 ก็ทำได้ไม่ต่ำกว่า 13โลต่อลิตร
    ในความเร็วต่ำกว่า 120ก.ม. ต่อ ช.ม. ตอนออกต่างเมือง

    แล้วทำไมขายอะ

    ก็มันผุอะพี่ เวลาไปซื้อดูที่ซุ้มล้อหลังดีๆ นะ และถ้าพี่โชคดี
    ซุ้มล้อหลังสด ก็อาจจะหมดโชคที่ซุ้มล้อหน้าได้ พยายาม
    หารถประกอบนอกนะพี่

    เทียบกับพี่ยุ่นเป็นอย่างไร

    หากกลับไปได้จะเอาพี่ w124 ไปพ่นกันสนิมอะจะได้อยู่
    กันนานกว่านี้ ตอนนี้ขับ wish อยู่

    โอ้โห อะไหล่บางอย่างแพงกว่ามากๆ เช่น สายพานเครื่อง
    ราคา wish ประมาณ ไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท อาจจะมีคน
    เถียงว่าก็ toyota เบิกห้าง benz ไปซื้อหลังวัดโสม

    พี่ๆ คนรู้จักที่ยังเอา 124 เข้าห้างนะสายพานเขาคิดราคา
    แค่ 920 บาทเอง

    แต่จริงๆ อาจจะมีถูกแพงสลับกันไป แต่เท่าที่กลับมาใช้รถพี่ยุ่นตอบเลยว่าไม่โดนใจเท่า 124 ทั้งค่าดูแลและการขับ

วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2565

งานเข้า... จอดนานไม่ได้ขับ... เติมลมแล้วหัวจุกเติมลมออกมาพร้อมฝาปิด

 วันนี้พาเจ้า W201 190E ที่จอดไว้นานมาเปลี่ยนกันชนหน้าพร้อมกาบ เปลี่ยนเสร็จก็พาวิ่งออกกำลังซะหน่อย เติมน้ำมันเสร็จก็ต่อด้วยการเติมลม พอเริ่มล้อแรกหน้าขวางานก็เข้า หมุนฝาปิดเติมลมออกแล้วปรากฏว่าออกมาทั้งยวง ลมที่มีก็ไหลพรั่งพรูออกมาจนยางแฟบในชั่วพริบตา  ปั๊มน้ำมันก็กำลังจะปิด ร้านปะยางอยู่ไหนนี่ เลยตั้งสติว่า เอ..รถเรามียางอะไหล่ไหม เนื่องจากจำไม่ได้ เพราะดันซื้อไว้หลายคัน เปิดท้ายดูปรากฏว่ามียางอะไหล่ขอบ 16 ติดรถ ล้อตราเบนซ์อย่างดี ยาง Continetal ใหม่เอี่ยม  โชคดีในโชคร้ายอันที่สองก็คือแม่แรง ประแจ บล๊อค ที่ใช้งานตอนเย็นอยู่ครบ  เอายางมาเติมลมปรากฏว่ายังใช้ได้ เลยจัดการเปลี่ยนยางหน้าขวาที่เป็นขอบ 16 ส่วนล้อเดิมที่เหลือเป็นยางขอบ 17 ลองขับดู อ้าว... พอใช้ได้ ไม่ต้องนอนปั๊ม ไม่ต้องกินข้าวลิง


เฮ้อ.. นาน ๆ ขับทีโดนซะแล้ว